บริหาร การจัดการ การตลาด พัฒนาตนเอง พัฒนาความคิด กลยุทธ์ ธรรมะ จักรราศี ฯลฯ
จัดตั้งธุรกิจ ปรับปรุงกิจการ | ไขความลับสมองเงินล้าน | การเขียนแผนธุรกิจ | บริหารคน บริหารงาน | พัฒนาความคิด
พระไตรปิฎกฉบับหลวง | แด่องค์กรที่แสนรัก | สุขใจกับเด็กสมาธิสั้น
Group Blog
 
All Blogs
 

ข้อพึงระวังของ Work from Home

ข้อพึงระวังของ Work from Home
วิบูลย์ จุง // Wiboon Joong (wbj) // Jung


การทำงานที่บ้าน Work From Home ดูเหมือนจะเป็นความชื่นชอบของคนทำงานหลายๆ คน แต่ก็อาจจะทำให้ ภาพลักษณ์ของพนักงานหลายๆ เสียได้เช่นกัน

แนวทางการทำงานของแต่ละคน ที่ทำงานที่บ้าน จะชี้ให้เห็นถึง การใช้เวลากับการทำงานในองค์กรด้วย ลักษณะการทำงานและรูปแบบที่แท้จริงของการทำงานจะสะท้อนออกมาจากการทำงานที่บ้านเสมอๆ

ใครที่ทำงานที่บ้าน อยากให้ระวังในเรื่องเหล่านี้ให้มากครับ
  • เวลาเริ่มงาน เวลาเลิกงาน และ ช่วงระยะเวลาในการทำงาน - ซึ่งเรามักคิดว่า อยู่บ้านจะเริ่มทำงานเมื่อไหร่ก็ได้ สบายๆ แต่ความเป็นจริง เจ้านายบางคน ก็ยัง ต้องการเวลาในการทำงานอย่างเต็มที่เหมือนทำงานที่บริษัทฯ คุณอาจจะไม่ต้องเดินทาง แต่ก็ควรคำนึงถึงเวลาเริ่มงานด้วย ยิ่งถ้าเจ้านายคุณมีความคาดหวังกับคุณเรื่องนี้
  • ผลงาน - การทำงานที่บ้าน บางครั้ง เราจะค่อยๆ ทำงานทำให้ผลงานไม่ออก จนต้องเลื่อนการส่งงาน บ่อยๆ ภาพลักษณ์ของเราต่อหัวหน้างานก็จะดูไม่ดี กลายเป็นเมื่อไม่ได้อยู่ในที่ทำงาน เราควบคุมการทำงานของเราไม่ได้ ผลงานไม่ออกตามที่คาดหวัง 
  • Video Conference - การเปิดกล้อง Video หรือ การ ประชุม การแต่งกาย การให้ความใส่ใจในการประชุม เป็นสิ่งที่ยังคงต้องทำ การให้ข้อคิดเห็น หรือ สอบถาม จะแสดงว่าคุณใส่ใจกับการประชุม...  (เจอบางคน ปิดภาพตนเอง หรือ เอาภาพของตนเอง มาวางไว้ตอน ประชุมว่า กำลังประชุมแต่ตัวเองไปนอนเล่น)  
  • การพักผ่อน - การทำงานที่บ้าน มีความสดวกสบาย ในบ้านเป็นเครื่องล่อจิตใจ และ บ้านเป็นสถานที่พักผ่อนหลัก เมืออยู่ใกล้เตียง ยิ่งรู้สึกอยากนอนขึ้นมาทันที ต้องหาสถานที่ทำงาน เป็นสัดส่วนอยู่ห่างเครื่องล่อใจให้ไกลหน่อย หรือ ห่างจากครัวมากหน่อย บางคนไม่ได้นอน แต่ก็หาของกินตลอดเวลา ระวัังอ้วนด้วยนะครับ...
  • Social Media + กระทู้ - เมื่อมีเวลาไม่มีคนควบคุม ว่าง ไม่มีคนคุย ก็จะเล่น Social มากขึ้น ตั้งกระทู้มากขึ้น ถ้าคุณต้องทำงาน แต่เอาเวลาไปเล่น Social หรือ ตั้งกระทู้ เจ้านายคุณเจอเข้า เขาจะรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่คุณทำ เหมือนเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่ภาพลักษณ์ในการทำงาน Work from Home ของคุณ จะขาดความเชื่อมั่นไปในทันที 
  • Chat / Line - บางคนต้อง Chat กลับมายังบริษัทฯ หรือ กลุ่มคนทำงาน คำที่ Chat จะสื่อว่า คุณทำงานจริงๆ หรือ ต้องการคุยกับเพื่อนๆ สภาพแวดล้อมไม่มีเพื่อนคุย ก็ยังจะคุยกันใน Chat มากๆ บางคนก็ ส่ง เรื่องตลก เรื่องขำขัน เรื่องไวรัส เรื่องการเมือง อะไรที่ไม่เคยส่งก็ส่ง ซึ่งแสดงว่า คุณใช้เวลาในการ เล่น Chat มากๆ หรือ อ่าน Social มากกว่าการทำงาน แน่นอน ถึงได้ ส่งอะไรมาเยอะแยะ
  • เล่น Games - บางคนมีเวลาก็จะเล่นเกมส์ มากขึ้น ใช้เวลาในการทำงานน้อยลง ผลงานไม่ได้ และ เมื่อติดเกมส์ขึ้นมา ก็จะยิ่งทำงานได้น้อยเท่านั้น
  • แจ้งว่าทำงานกลางคืน บ่อยๆ - การแจ้งว่าทำงานกลางคืนบ่อยๆ โดยคิดว่า เป็นการทำงานล่วงเวลา เป็นการทุ่มเท ถ้างานเหล่านั้น ต้องทำงานมากกว่าเวลาการทำงานจริงๆ ก็กลายเป็นผลงานไป แต่ส่วนใหญ่ กลางวันไม่ทำงาน แล้วเวลากลางคืนค่อยมาทำงาน ทำให้เห็นว่า เป็นคน เสนอผลงาน แต่ไม่ทำงานจริง เจ้านายส่วนใหญ่รู้ แต่ก็ไม่ได้มองว่า คุณจะดึอย่างที่คุณคิด... และ จะเริ่มจับผิดการทำงานของคุณ ในช่วงเวลาที่คุณทำงานในบริษัทฯ มากขึ้น
  • ครอบครัว ต้องการให้ใช้ชีวิตร่วมกันมากขึ้น - จนบางครั้ง กำลังทำงาน ก็ถูกขัดจังหวะในการทำงาน คู่ครองใช้ให้ไปทำงานบ้าน ลูกๆเข้ามาเล่นด้วย พ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ให้ไปขับรถให้ สิ่งเหล่านี้ บางครั้งอาจจะทำให้ ภาพลักษณ์ในการทำงานดูแย่ลง แต่ก็ต้องอยู่กับคนในครอบครัวและการทำงานให้ได้ บางครั้งอาจจะต้องใจแข็งในการฝืนบ้างหาก เรื่องงาน ณ เวลานั้น เป็นเรื่องที่จำเป็น หรือ บางเรื่องเราอาจจะปฎิเสธกับครอบครัวบ้าง หรือ จัดสรรเวลาให้พอเหมาะ
บางครั้ง เราอาจจะคิดว่า ไม่เป็นไร แต่ผลงานและพฤติกรรมต่างๆ จะยังคงติดไปกับ ความรู้สึกของหัวหน้างานคุณอยู่ลึกๆ และ เมื่อประเมินผลงาน เขาจะเอาเรื่องเหล่านี้ มาประเมินคุณในภายหลังเสมอๆ เลยอยากให้ระวังเรื่องเหล่านี้ด้วย..
 
วิบูลย์ จุง // Wiboon Joong (wbj) // Jung




 

Create Date : 26 มีนาคม 2563    
Last Update : 31 มีนาคม 2563 18:55:17 น.
Counter : 2515 Pageviews.  

คุณสมบัติของที่ปรึกษาทางธุรกิจ...

คุณสมบัติของที่ปรึกษาทางธุรกิจ

โดย วิบูลย์ จุง // Wiboon Joong (wbj)

ที่ปรึกษาทางธุรกิจน่าจะมีคุณสมบัติดังนี้ครับ

1. ชอบเรียนรู้ ใผ่เรียน ที่ปรึกษาทุกคนต้องชอบการเรียนรู้และศึกษา ไม่ว่าเรืองของธุรกิจ เรื่องชีวิต เรื่องคน เรื่องประเทศ เรื่องการติดต่อสื่อสาร และ การเรียนรุ้นี้ จะทำให้ติดนิสัยการศึกษาหาข้อมูล และ เหตุผล ข้อเท็จจริงของธุรกิจที่เราให้คำปรึกษา มันเป็นพื้นฐานของการเป็นที่ปรึกษาเลยครับ

2. มีการวิเคราะห์ที่ดี ซึ่งที่ปรึกษาเมื่อเรียนรู้ระบบงานของบริษัทแล้ว ต้องวิเคราะห์ให้ได้ ถึงความเป็นไป ของบริษัทฯ และ ตำแหน่งของบริษัทฯนั้นๆ เมื่อรู้ถึงตำแหน่งของบริษัทฯแล้ว ต้องวางตำแหน่งที่ควรเป็นให้กับธุรกิจให้ได้ วิเคราะห์อีกครั้งเพื่อหาหนทางเพื่อนำไปสู่จุดหมายนั้นๆ

3. การสื่อสารที่ยอดเยี่ยม หากเรียนรู้และวิเคราะห์ได้แต่สื่อสารให้คนอื่นรับรู้แนวความคิด และ สิ่งที่เราวิเคราะห์มาไม่ได้ ก็เปล่าประโยชน์ การสื่อสารมีหลายวิธี ทั้งการพูดคุย การเขียนเพื่อการสื่อสาร การใช้รูปภาพ การยกสิ่งต่างๆมาเปรียบเทียบ เพียงสื่อสารให้ทุกคนเห็นและรับรู้ในความคิดเราได้ถึงจะประสบความสำเร็จ

4. มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ที่ปรึกษาธุรกิจ สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือการพูดคุย โน้มน้าว ดังนั้น การมีมนุษยสัมพันธ์เป็นสิ่งที่จำเป็น ที่ปรึกษาสามารถคุยได้ตั้งแต่ผู้ทำงานระดับล่าง หัวหน้างาน ผู้จัดการ ผู้บริหารระดับสูง จวบจนเจ้าของธุรกิจ เพื่อค้นหาและวิเคราะห์ความเป็นไป การคุยกับคนกวาดถนน (เหมือนที่คุณแบมทำ) ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สื่อมาให้เห็นว่ามีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีเพียงใด

5. สามารถประเมินเหตุการณ์ ได้ว่า ทำลักษณะนี้แล้วเกิดอะไรขึ้น หรือ ผลเกิดอย่างนี้ มาจากสาเหตุใดบ้าง ซึ่งต้องมีประสบการณ์มากพอควร การมีประสบการณ์ต่างๆเหล่านี้มาจากการเข้าไปศึกษา หรือ สังเกตธุรกิจต่างๆเป็นประจำก็มีส่วนช่วย อย่างเช่นนักวิเคราะห์ระบบคอมพิวเตอร์ หรือ นักเขียนโปรแกรม ของบริษัทฯรับเขียนโปรแกรม จะสามารถมาทางนี้ได้ง่ายเพราะ ได้ผ่านประสบการณ์ในการวิเคราะห์ระบบงานหลากหลายบ่อยๆ มีการแก้ปัญหาและป้องกันปัญหาเป็นประจำทำให้สามารถประเมินเหตุการณ์ต่างๆได้ง่ายขึ้น หรือ ผู้ให้คำปรึกษากับบริษัทฯต่างๆจากการสังเกตก็เป็นนิสัยลักษณะเดียวกันครับ

6. ชอบสอน ชอบแนะนำ ทีปรึกษาธุรกิจที่เก่งๆ มักจะมีประสบการณ์ที่ผ่านมามาก ก็จะชอบสอนชอบแนะนำเรื่องต่างๆให้กับคนทั่วไป รวมทั้งธุรกิจที่ดูแล เพราะ การสอนและการแนะนำต่างๆให้กับพนักงาน จะทำให้พนักงานมีความคิดไปในทางเดียวกัน และ แนะนำผู้บริหารต่างๆก็จะสามารถทำให้ระบบงานทั้งระบบเป็นไปในแนวทางเดียวกัน จะพบเห็นบ่อยๆว่า ที่ปรึกษาธุรกิจที่เก่งๆ จะเรียกประชุมผู้บริหารระดับกลาง และ ล่าง รวมทั้ง พนักงานระดับล่างอยู่บ่อยๆ อีกทั้งเข้าไปคุยกับเจ้าของกิจการและ ผู้บริหารระดับสูง เพื่อทำให้แนวความคิดที่จะพัฒนาธุรกิจเป็นไปในแนวทางเดียวกันทั้งระบบ

7. มองการณ์ไกล ที่ปรึกษาไม่ใช่ทำให้ปัจจุบันประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่ต้องปูพื้นฐานในธุรกิจต่างๆให้สามารถประสบความสำเร็จในอนาคต มองแนวทางใหม่ๆ และ การแตกแนวทางของธุรกิจ เพื่อให้ขยายกิจการไปได้ อีกทั้งต้องพัฒนาคนที่มีในปัจจุบันเพื่อรองรับในงานในอนาคตด้วย ดังนั้น วิสัยทัศน์ และ การมองการณ์ไกล จึงสำคัญสำหรับที่ปรึกษาเก่งๆ

8. การติดตามข่าวสาร เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของที่ปรึกษา เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรื่องทั่วไปที่จะมีผลกับธุรกิจ ที่ปรึกษาควรจะรับรู้และแนะนำได้ทันเหตุการณ์ รวมทั้งสามารถกำหนดแนวทางในอนาคตได้

9. มีมุมมองทางบวกเป็นพื้นฐาน และหาก มีประสบการณ์ทางลบ จะทำให้มุมมองทางบวกมีการหักล้างของความคิด ทำให้มุมมองและแนวคิดสามารถนำมาปฏิบัติได้ แต่ก็ต้องมีมุมมองทางบวก เพื่อมีความคิดที่จะทำให้ได้ เช่น หากคุณทำธุรกิจหนึ่ง ไม่ว่าธุรกิจใด คนมีมุมมองทางบวกจะบอกว่า ทำได้แต่อาจจะเหนื่อยหน่อย แสดงว่ามันยากแต่ทำได้เพราะธุรกิจใดๆ ก็จะต้องมีการแข่งขัน ต้องมีผู้ประสบความสำเร็จ และ ผิดหวัง โดนน๊อก เพียงแต่ที่ปรึกษาสามารถมีมุมมองว่าเป็นไปได้ ก็สามารถทำได้ ถึงแม้นจะยาก เพียงแต่ผู้ตัดสินใจที่จะทำนั้น จะทำ หรือ ถอยเท่านั้นเอง

10. มีทักษะในการโน้มน้าวจูงใจคน ทักษะนี้ต้องทำเป็นประจำจนเป็นนิสัย เพราะการเสนอสิ่งต่างๆให้กับพนักงาน สิ่งแรกที่จะพบคือการสร้างกำแพงมากีดกันความคิดของที่ปรึกษา ดังนั้น ไม่ว่าจะทำลักษณะใด ที่ปรึกษาต้องมีคุณสมบัติในการโน้มน้าวและจูงใจคนได้ ให้ทุกคนสามารถทำงานของตนให้บรรลุวัตถุประสงค์ของบริษัทฯได้

11. ทำใจ และ ใฝ่ธรรม จะเห็นที่ปรึกษาส่วนใหญ่ เข้าวัด หรือไม่ก็ศึกษาธรรมะ ซึ่งการทำใจใฝ่ธรรมก็เลยเป็นคุณสมบัติหลัก เพราะ การเสนอแนะคำแนะนำ หรือ แนวทางใดๆ สิ่งหนึ่งที่ต้องทำทุกครั้งคือการทำใจ เพราะ ผู้ตัดสินใจบางคนไม่ยอมรับในคำแนะนำเหล่านั้น เพราะคิดว่าไม่คุ้ม ไม่ดี (ไม่รู้จะจ้างที่ปรึกษามาทำอะไรเหมือนกัน) ดังนั้น คำแนะนำที่ให้ในเบื้องต้น หากถูกปฏิเสธ คุณต้องทำใจให้ได้ ใช้ธรรมะเข้าช่วย ปล่อยวาง แล้วหาแนวทางใหม่ เพื่อทำให้ธุรกิจที่เราปรึกษาอยู่ประสบความสำเร็จกันซึ่งก็อาจจะต้องทำการบ้านกันเป็นเดือนๆ เลยทีเดียว...

12. มีความภูมิฐานน่าเชื่อถือ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ที่ปรึกษาขาดไม่ได้ ซึ่งต้องปรับทั้งบุคคลิก และ นิสัยการใช้ชีวิต การแต่งกาย รวมไปถึง การแสดงออกต่างๆด้วย...

13. สะสมประสบการณ์ไว้มากกว่าคนอื่นๆทั่วไป และ ต้องมีหลากหลายวิชา และ ความรู้ความสามารถ ก็ต้องแตกแขนงออกไปได้ไม่รู้จบ สามารถประยุกต์เอาประสบการณ์ที่ผ่านมา มาใช้กับเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างเหมาะสม...

การให้คำแนะนำ กับ การเป็นที่ปรึกษา ไม่เหมือนกัน มีเรื่องต่างๆมากมายที่คนแนะนำไม่ได้บอก ไม่ได้กล่าวถึง และ ไม่บอกวิธีการทำที่แท้จริง แต่ที่ปรึกษา ต้องทำให้คุณสามารถดำเนินธุรกิจ และต้องบอก ต้องสอน ต้องให้ข้อมูล ข่าวสาร ให้ระบบสามารถทำงานไปได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นไม่ว่าในกระทู้ Chat หรือในเมล์ ที่ปรึกษาจะทำตัวเป็นเพียงผู้แนะนำไม่ใช่ที่ปรึกษาครับ




 

Create Date : 25 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 22 สิงหาคม 2556 23:30:15 น.
Counter : 6131 Pageviews.  

เซลมือใหม่ ต้องมีทักษะอะไรบ้าง...?



เซลมือใหม่ ต้องมีทักษะอะไรบ้าง ?
วิบูลย์ จุง // Wiboon Joong // Jung



งานเซลล์เป็นศิลปะ หากคุณต้องการทำอาชีพนี้ คุณควรจะมีทักษะเหล่านี้ครับ 


- มีทักษะในการพูด ไม่ใช่คุยน่ำไหลไฟดับ หรือคุยแล้วไม่ได้เนื้อหา ไม่ใช่ว่าจะพูดอย่างเดียวกันกับุทุกๆคน แต่คุณต้องมีศิลปะในการสื่อสารให้คนที่คุณกำลังขายสินค้าให้เขา ต้องศึกษาเขาขณะพูดว่า ณ เวลานั้นเขาต้องการอะไร เขาสนใจ หรือไม่สนใจสินค้าและบริการที่คุณขายเพียงใด มีการเสนอในสิ่งที่เขาสนใจ ไม่ใช่ยัดเยียดสินค้าให้เขา หากสินค้าไม่มีต้องหาสิ่งทดแทนให้กับเขาได้เสมอ ต้องถามเป็น ต้องเสนอเป็น และ ต้องเงียบเป็น เพราะการขายให้กับแต่ละคนนั้น ไม่เหมือนกันเสียทุกคน

- สามารถสร้างการโน้มน้าวใจได้ ทั้งคำพูดและการกระทำ รวมทั้งหน้าตาก็มีส่วนโน้มน้าวใจได้ ขายคลีมกันแดดทาแล้วผืวขาวสวยแต่คนขายผิวดำเป็นหมีก มันจะขัดกันกับความรู้สึก แต่การโน้มน้าวใจต้องอาศักคำพูด และ การสื่อสาร การรับฟัง ถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่หักหาญ หรือข่มขู่ หรือ มีสิ่งที่จะโน้มน้าวให้คนที่จะซื้อมีมุมมองหรือ โน้มเอียงทางเราก่อนการขาย ลักษณะนี้เป็นต้น...

- มองตลาดของสินค้าให้ออกว่าต้องขายใคร กลุ่มเป้าหมายเป็นใคร มีกลุ่มเป้าหมายใดบ้างที่จะสามารถใช้สินค้าหรือบริการที่คุณกำลังขายอยู่ มีกลุ่มเป้าหมายอื่นๆอีกไม๊ ต้องมองตลาดของสินค้าให้ออกด้วย แล้ว มุ่งประเด็นการขายให้กับคนกลุ่มนั้น

- มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ไม่หวั่นไหวต่อความผิดพลาด การเสนอขายส่วนใหญ่ จะสำเร็จไม่กี่ครั้ง แต่ลัมเหลวเป็นตัน.. ดังนั้น ความเชื่อมั่นในตัวเองจึงสำคัญอย่างมาก การให้กำลังใจตัวเอง การหาเหตุผล และ การสร้างแรงจูงใจในการขาย มีผลกับความคิดทางด้านนี้ ดังนั้น การขายต้องควบคุกับความผิดหวัง แต่ต้องเปลี่ยนความผิดหวังให้เป็นพพลังเสริมในการขายครั้งต่อๆไป ความผิดหวังก็เหมือนเชื้อโรคครับ หากคุณสามารถกำจัดมันได้บ่อยๆ คุณก็จะมีภูมิคู้มกันเชื้อโรคนั้นๆ ไปโดยปริยาย

- ปิดการขายให้เป็น การเสนอขายเมื่อถึงจุดที่ผู้ซื้อเกิดความพึงพอใจ คุณต้องสามารถปิดการขายแบบไม่บังคับได้ เสนอให้ด้วยความจริงใจจะเป็นหนทางที่ดีกว่า การบังคับให้ซื้อ มีหนังสือมากมายที่คุณต้องอ่านในเรื่องนี้ครับ ผมไม่ชำนาญเสียด้วย...

- สร้าง Connection กับลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ ไม่ห่างหายไปนานและ ไม่ติดตามมากเกินไป มีการไปสังสรร ร่วมกิจกรรมที่ลูกค้าจัดขึ้นเป็นระยะ เพราะ คนในวงการการตลาดเป็นคนที่ชอบสร้าง Connection หากคุณไม่มีข้อนี้คุณก็สามารถขายได้แต่ไม่สามารถกินได้นาน มองการณ์ไกล สร้าง Connection ตั้งแต่ตอนนี้ได้แล้วครับ

สิ่งเหล่านี้หากคุณมีในตัวจะทำให้คุณประสบความสำเร็จในอาชีพเซลล์ครับ


วิบูลย์ จุง // Wiboon Joong (wbj) // Jung
DIP Consultant Award 2013
ที่ปรึกษาธุรกิจ วิทยากรกระบวนการเชิงกิจกรรม โค้ชผู้บริหารการจัดการ นักวิจัยการตลาด
Business Consult, Facilitator Trainer, Executive Management Coach, Marketing Survey




 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 15 สิงหาคม 2559 22:55:22 น.
Counter : 3343 Pageviews.  

ถึง... พ่อแม่ที่มีบุตรหลานเล่น Internet

พ่อแม่ที่ใส่ใจในพฤติกรรมของบุตรหลาน และ ครอบครัวที่มีความรักความอบอุ่น จะเป็นเกราะป้องกันภัยที่อาจจะเกิดขึ้นกับบุตรหลาน ได้อย่างดี แต่เมื่อบุตรหลานโตขึ้นมีโลกของตัวเองมากขึ้น การที่พ่อแม่จะเข้าไปยุ่งย่ามมากนัก อาจจะก่อให้เกิดผลตรงข้ามได้ ซึ่งเด็กอาจจะคิดว่า พ่อแม่ยังไม่ยอมมองว่าตัวเองโตแล้ว รับผิดชอบได้แล้ว ซึ่งมีผลทำให้เด็กๆอาจจะแสดงอาการแข็งกระด้างได้...

เด็กๆมันจะชอบขอซื้อ คอมพิวเตอร์ ไว้ในห้องของตนเอง และมักจะขออินเตอร์เน็ตด้วย การที่พ่อแม่จะซื้อให้หรือไม่นั้น พ่อแม่ควรจะมีตัดสินใจว่า จะซื้อหรือไม่ หากซื้อจะตามใจลูกๆให้ไว้ในห้องนอน หรือ ส่วนกลาง เพราะมันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย การไว้ในห้องนอนของลูกๆ อาจจะทำให้ลูกๆนอนตื่นสายเพราะเล่นจนดึกดื่น การเรียนเสีย สุขภาพเสียก็เป็นไปได้ ดังนั้น ควรจะจัดสถานที่ของคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในที่ส่วนกลาง เพื่อพ่อแม่จะได้ดูแล และ ให้คำแนะนำต่างๆได้อย่างใกล้ชิดมากกว่า

ในเรื่องของอินเตอร์เน็ตก็เหมือนกัน เมื่อเยาวชนเริ่มมีโลกเป็นของตัวเองในโลกของอินเตอร์เน็ต การควบคุม จู้จี้กับบุตรหลานมากเกินไป การบังคับ การปิดบังเรื่องต่างๆที่อยู่ในโลกของอินเตอร์เน็ตนั้น อาจจะทำให้เกิดผลเสีย โดยบุตรหลานอาจจะอยากรู้ อยากเห็นมากขึ้น ที่บ้านไม่ให้เข้าไปในเวปต้องห้าม หรือกีดกัน... การกีดกัน การห้าม ก็เหมือนยิ่งยุให้อยากรู้ อยากเห็นมากขึ้น อาจจะไปดูที่บ้านเพื่อน ห่างหูห่างตา พ่อแม่มากขึ้นเสียด้วยซ้ำ

พ่อแม่ทุกคนย่อมห่วงบุตรหลาน ยิ่งในวัยที่เป็นเยาวชนของประเทศแล้ว ก็ยิ่งห่วง เมื่อยิ่งห่วงก็ยิ่งจะคอยเฝ้าดูติดตาม จนเป็นเหตุให้ต้องเตือน ต้องดุ ต้องว่า แต่การทำเช่นนั้น ไม่ได้เข้าถึงจิตใจของผู้เป็นบุตรหลานเลย พ่อแม่ควรจะเฝ้าติดตามอยู่ห่างๆ สอน และ แนะนำ อย่าได้บังคับขู่เข็นมากจนเกินไป เพราะจะทำให้เด็กๆไม่กล้าปรึกษา การเล่น อินเตอร์เน็ต สำหรับบุตรหลานก็เช่นกัน ต้องคอยดูอยู่ห่างๆ หากพ่อแม่มีความสามารถในการเล่น ก็ควรจะเข้ามาช่วยเหลือ ทำกิจกรรมร่วมภายในครอบครัว สอนทั้งสิ่งที่ดี และ สิ่งไม่ดี ทำให้เขาเห็น และแจกแจงว่า สิ่งใดเป็นสิ่งที่ควร และ สิ่งใดเป็นสิ่งที่ไม่ควร แล้วดูพฤติกรรมว่า เขาชอบ หรือ ไม่ชอบอย่างไร เพื่อจะได้หาหนทางปรับให้เขาได้เข้าใจ และ มองในมุมที่ถูกต้อง

อินเตอร์เน็ตมีทั้งดี และไม่ดี ก็เหมือนกับคน ที่มีทั้งคนดี และ คนไม่ดี พ่อแม่ควรจะมีพื้นฐานของอินเตอร์เน็ต เหมือนกับ ที่มีพื้นฐานทางด้านคน เพื่อจะได้แนะนำให้บุตรหลานได้เหมือนกับการดูคน เมื่อพ่อแม่เข้าใจว่าคนไหนควรคบ คนไหนไม่น่าไว้วางใจ อินเตอร์เน็ตก็เช่นเดียวกัน ต้องการพ่อแม่มาชี้นำว่า เวปนี้เป็นเวปที่ดี เวปนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อย่าได้เข้า หรือคบหา บางครั้งอาจจะเพียงบอกความจริงว่า เวปที่หาประโยชน์ หรือ เวปที่แสดงรูปโป๊นั้น มีไวรัส หรือ โปรแกรมที่ทำให้เครื่องช้า หรือ ขโมยหมายเลขบัตรเครดิต เป็นต้น... ซึ่งพ่อแม่ต้องเข้าใจในพื้นฐานเหล่านี้ถึงจะอธืบายได้ดังนั้น พ่อแม่จึงควรศึกษาเบื้องต้นให้เข้าใจในอินเตอร์เน็ตเสียแต่เนิ่นๆ จะได้อธิบายให้บุตรหลานได้อย่างถูกต้อง

อินเตอร์เน็ตมีการโฆษณา และบางทีอาจจะทำให้การใช้จ่ายของเยาวชนฟุ้งเฟ้อเกินความจำเป็นดังนั้น คำแนะนำจากพ่อแม่ นั้นเป็นสิ่งสำคัญ และ การตรวจสอบการใช้เงินของบุตรหลานบ้างก็สมควร หากบุตรหลานได้พลั้งพลาดไป อย่าได้ดุด่าโดยทันที ควรจะสอบถามหาเหตุผลของการซื้อนั้นๆ และ อธิบายให้บุตรหลานเข้าใจถึงการใช้เงิน การหาเงิน ว่ามันยากง่ายแตกต่างกันอย่างไร

สุรปแล้ว พ่อแม่ ควรจะดูแลและเอาใจใส่ต่อบุตรหลาน ทั้งเรื่องของชีวิตจริง และ โลกอินเตอร์เน็ต เพื่อจะได้ให้คำแนะนำ ได้ตรงกับความเป็นไปในสังคม ชี้ให้เห็นข้อดีข้อเสียของสิ่งต่างๆ และ สร้างสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัว เพื่อนพัฒนาการที่ดีของบุตรหลานของท่านสืบต่อไป...




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2548    
Last Update : 12 สิงหาคม 2548 23:52:12 น.
Counter : 1689 Pageviews.  

การพูดให้สนุก

การพูดให้สนุก นั้นมีสิ่งที่ควรสังเกตุในการพูดดังนี้

1. รู้พื้นฐานของผู้ฟัง
หากผู้ฟังนั้นเป็นเพื่อนหรือคนในกลุ่มก็ไม่เท่าไหร่ เพราะพื้นฐานของคนพูดกับคนฟังนั้น ใกล้เคียงกัน แต่หากต้องไปพูดกับเพื่อนกลุ่มอื่นๆ แล้วต้องการให้เขาสนุกสนานด้วยแล้ว ก็ต้องจำเป็นต้องรู้พื้นฐานเขาก่อนว่าเขาอยู่ในกลุ่มคนใด อย่างเช่น กำลังคุยกับคนทางด้านหนังสือพิมพ์ กลับไปคุยตลกต่อว่าหนังสือพิมพ์เข้า ถ้าไม่ใช่หนังสือพิมพ์ของเขาก็แล้วไป แต่หากคุยเล่นตลกกันหนังสือพิมพ์ของเขาอาจจะมีเรื่องเกิดขึ้นได้... หรือ แม้นแต่พฤติกรรมของกลุ่มคน บางกลุ่มชอบคุยเล่นในรูปแบบใต้สะดือ แต่บางกลุ่มจะต้องคุยอย่างเรียบร้อย หรือบางกลุ่มรับไม่ได้กับการพุดเสียงดังเหล่านี้ เป็นองค์ประกอบสำคัญในการพูดเลยทีเดียว...

2. เลือกเรื่องที่จะพูดเพื่อให้เหมาะกับผู้ฟัง
ผู้ฟังจะแบ่งออกง่ายๆ ก็จะเป็นหญิงและชาย และแบ่งย่อยออกไปเป็นกลุ่มของอายุ ซึ่งแต่ละกลุ่ม หรือ กลุ่มย่อยก็ตาม จะมีเรื่องที่สามารถคุยได้แตกต่างกัน ถ้าคุยกับเด็กๆ จะให้สนุก ก็ต้องคุยในเชิงเรื่องเล่า หรือนิทาน คุยกับวัยรุ่น อย่าสอนแต่ต้องเปรียบเปรย และ เหตุผล คุยกับคนแต่งงานแล้ว ก็จะคุยเรื่องลุกเรื่องครอบครัวสักส่วนใหญ่ เป็นต้น ทั้งน

3. ฝึกพุดบ่อยๆ
การฝีกพูดบ่อยๆ ทั้งต่อหน้ากระจก หรือ ต่อเพื่อนฝูงก็ตาม ต้องพยายามพูดให้เขาเข้าใจ เพื่อนที่เราคุยเล่น เป็นบททดสอบอย่างดีสำหรับการหัดพูด เราสามารถจะพูดได้ดีกับคนทั่วไปดีแค่ไหน หากการพูดกับเพื่อนแล้วยังสื่อสารได้ไม่ดี ก็ไม่ต้องไปคุยให้ใครฟังแล้วสนุกหรอก เพราะยังสื่อสารออกมาไม่ดีนั่นเอง ดังนั้นการฝึกพูดจึงเป็นสิ่งที่จะเป็นมากที่สุด
การสังเกตุคนพูดเก่งๆ ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นในการฝีกพูด ดังนั้น หากคุณชื่นชอบคนพูดคนใด คุณต้องศึกษาและหาให้เจอว่า ผู้พูดที่ท่านชื่นชอบนั้น ใช้หลักการณ์ใดในการที่จะพูดให้คนอื่นสามารถนั่งฟัง เหมือนถูกมนต์สะกดได้

4. พูดด้วยน้ำเสียงมีน้ำหนัก ทั้งเบา และดังตามสถานการณ์
บางคนพูดเรื่องที่น่าสนใจ แต่พูดเสียงเบามาก แทบไม่ได้ยิน ก็จะทำให้คนฟังไม่ได้รับข้อความชัดเจนเท่าที่ควร อาจจะฟังขาดๆหายๆไปบ้าง หรือ บางคนพูดเรื่องที่น่าสนใจ แต่พูดเสียงดังมาก แสบแก้วหู ก็ทำให้คนฟังไม่อยากฟังได้เช่นกัน ดังนั้น การหัดพูดในน้ำเสียงที่พอเหมาะ ฟังชัด จะช่วยส่งเสริมให้การพูดน่าฟังมากยิ่งขึ้น ยิ่งตอนเล่านิทาน หรือเล่าเรื่องต่างๆ การให้เสียงเน้นหนัก หรือ ตื่นเต้น จะทำให้คนฟังมีจินตนาการคล้อยตามได้ง่าย

5. พูดด้วยใจ พุดด้วยความรู้ที่มี
การพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้จริง อาจจะทำให้เราเดือดร้อน หรือ จนมุมได้ แต่การพูดในสิ่งที่คุณมีความรู้จริงนั้น จะทำให้คุณได้มีมุมมองต่างๆเพิ่มมากขึ้น หรือ หากคุณต้องการพูดให้คนอื่นสนุกสนาน นั้น คุณต้องพูดด้วยใจ จะเล่าเรื่องก็ต้องมีภาพในสอง แล้วบรรยายให้คนอื่นเห็นภาพที่คุณคิดไว้ นั่นเป็นการเล่าด้วยใจ คุณต้องอินกับสิ่งที่จะเล่า หรือ จะพูดก่อนที่จะพูดออกมา...

6. สังเกตุผู้ฟัง ขณะเรากำลังพูด
นักพูดที่ดีควรจะสังเกตุผู้ฟังเวลาพูดด้วย ต้องวิเคราะห์ผู้ฟังเป็นระยะๆ เพื่อจะได้ปรับปรุงการพุดให้ของเราให้สอดคล้องกับผู้ฟัง และ ความคิดของผู้ฟัง ณ ขณะนั้น ถ้าคุณสามารถพูด และ เห็นพฤติกรรมของคนฟังส่วนใหญ่แล้วละก็ คุณสามารถเอาพฤติกรรมเหล่านั้น เข้ามาเสริมในการพูดเพื่อทำให้ผู้ฟังได้รู้สึกเป็นส่วนร่วมก็ได้...

7. ปรับเปลี่ยนมุขเพื่อให้เข้ากับกลุ่มผู้ฟัง
มุขในการพูดอย่าคิดว่า จะใช้ได้ทุกครั้งในการพูด เพราะลูกเล่นในการพูดนั้น สื่อให้เห็นถึงภูมิในการพูดว่า สามารถดึงให้คนฟังอยู่ในสิ่งที่พูดได้มากน้อยเพียงใด และ แต่ละกลุ่มของคนฟัง ก็จะมีบางอย่างที่แตกต่างกันไป ซึ่งจะเห็นบ่อยๆ สำหรับตลกคาเฟ่ ที่เล่นมุขเดิม ในหลายๆ สถานที่ บางที่จะหัวเราะท้องแข็ง แต่บางที่ก็ไม่มีแม้นแต่เสียงหัวเราะก็มี... ดังนั้น จึงจำเป็นต้องสะสมมุขในการพูดให้มาก และเลือกใช้ให้ถูกสถานที่ ถูกเวลาด้วย

8. ทบทวนการพูด
การพูดของคุณ หรือ การคุยกับใครๆนั้น หลังจากการพูด ก็ควรจะทบทวนการพูดของคุณว่า มีจุดใดต้องแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงบ้าง ก็ให้ลองไปคุยหน้ากระจกใหม่ว่า เราน่าจะพูดอย่างนั้น อย่างนี้นะ จะได้ดึงดูดความสนใจของคนฟังได้.. ซึ่งจะทำให้คุณพัฒนาการพูดได้มากยิ่งขึ้น...

สิ่งหนึ่งที่อยากเตือนไว้ คือ อย่าคาดหวังว่าผู้ฟังทุกคนจะชื่นชอบการพูดของเรา เพราะ การที่เราจะพูดหมายถึง เรากำลังสื่อสารทางด้านภาษาอย่างหนึ่ง สิ่งที่เราสื่อไป มันมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ คละกันไป ดังนั้น อย่าคาดหวังว่าคนฟังจะเป็นอย่างที่เราหวัง... เพราะหากคาดหวังส่วนใหญ่จะตื่นและจะผิดหวังตามมา...




 

Create Date : 21 พฤษภาคม 2548    
Last Update : 7 สิงหาคม 2548 22:40:38 น.
Counter : 4506 Pageviews.  

1  2  

wbj
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 210 คน [?]




ต้องการสอบถาม กรุณาติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com หรือ 062 641 5992, 062 826 1544

วิทยากรเชิงกิจกรรม

วิทยากรกระบวนการ

ที่ปรึกษาธุรกิจ

ด้านการบริหารจัดการ

การตลาดและการประชาสัมพันธ์

การบริหารทรัพยากรมนุษย์

การวางแผนกลยุทธ์

วิจัยธุรกิจ

IT Dashboard



ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้...
ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย
และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด



<< Main Menu >>



ดวงถาวร


ดวงตามวันเกิด



ดวงตามปีเกิด






;b[^]pN 06' ไรินนื ่นนืเ "รินนื ๋นนืเ c:j06'

ต้องการสอบถาม โทร 062-641-5992, 062-826-1544
ติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com
Line ID : wbjoong

ที่ปรึกษาธุรกิจ ด้านการบริหารจัดการ การตลาดและการประชาสัมพันธ์ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ และ การวางแผนกลยุทธ์ วิทยากรเชิงกิจกรรม, วิทยากรกระบวนการ นักวิจัยการดำเนินงานธุรกิจ Executive & Management Coach

ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้... ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด
<< Main Menu >>
Friends' blogs
[Add wbj's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friends


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.